เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๔ เม.ย. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม การฟังธรรมเห็นไหม ต้องมีความสงบ ถ้าไม่มีความสงบมันจะฟังสิ่งใดกัน ถ้าฟังทางโลกเขานะ ก็สภากาแฟ เขากินกาแฟไป เขาดื่มเหล้าไป เขาคุยกันไป เขาสนุกครึกครื้นนะ

แต่ถ้าฟังธรรมนะ ถ้าจิตมันสงบมันจะรับรู้ของมัน ถ้าจิตไม่สงบมันก็รับจากภายนอกไง จากภายนอกคือสัญญาอารมณ์ แต่ตัวจิตมันต้องสงบสงัดของมัน เวลาฟังธรรมเราตั้งสติไว้ เวลาเราฟังเทศน์เราตั้งสติไว้ เสียงนั้นจะมาหาเราเอง เสียงนั้นไง แต่เวลาเราฟังเราจะพยายามรับรู้ให้หมด เราจะส่งจิตเราออกไป ถ้าส่งจิตออกไปมันก็เหมือนกัน ฉะนั้นฟังธรรมต้องมีความสงบ

เราก็ทำบุญกุศลกัน ถ้าเป็นพิธีกรรม เขามีพิธีกรรมกันมากมายมหาศาล เราไปทำบุญแล้วเรามีความชื่นใจ แต่พอไม่มีพิธีกรรม มันทำด้วยความสะอาดบริสุทธิ์นะ เรามีเจตนามาตั้งแต่บ้านแล้ว

ฉะนั้นวันสงกรานต์เห็นไหม วันสงกรานต์วันแห่งครอบครัว ถ้าลูกหลานมาเยี่ยมครอบครัวมีความร่มเย็นเป็นสุข คนก็หน้าชื่นหน้าตาบาน เวลาลูกหลานมันจะกลับ มันก็เศร้าหมองนะ ฉะนั้นถ้าลูกหลานมาเยี่ยมเราก็มีความร่มเย็นเป็นสุข เรามีความชื่นใจเพราะเป็นลูกหลานของเรา เราเลี้ยงดูเขามาใช่ไหม ถ้าเขาจะกลับเราก็ต้องชื่นใจ เพราะอะไร เราชื่นใจเพราะเรามีจุดยืนของเราได้

เรามาวัดมาวากันทำไม เสียสละบ้านเรือนมาวัดเพื่ออะไร เรามาบำเพ็ญตบะธรรม เรามาตั้งสติ เราทำสมาธิของเรา เราทำจิตใจของเราให้เข้มแข็ง ลูกหลานมาเยี่ยมเราก็ดีใจกับลูกหลานของเรา ลูกหลานเราจะกลับไปทำหน้าที่การงาน เราก็ชื่นใจกับเขาเพราะเราอยู่ของเราได้ ลูกหลานมาเยี่ยมเราเรามีความชื่นใจมาก ลูกหลานจะกลับ แหม..อาลัยอาวรณ์เศร้าสร้อยเพราะเหตุใด เพราะจิตใจเราไม่เข้มแข็ง เพราะจิตใจตัวเองมันทรงตัวเองไม่ได้

ถ้าเราทรงตัวเองได้นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์องค์เดียว อยู่ในป่าองค์เดียวนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธรรมจักรมีพระ ๕ องค์เท่านั้น แต่เทวดา อินทร์ พรหม เขาส่งข่าวกันไป ธรรมจักรได้เคลื่อนแล้ว จักรได้เคลื่อนแล้ว

ในโลกนี้มีแต่กงจักร กงจักรนี้มันทำลายไปทุกอย่างเลย แต่ธรรมจักรเห็นไหม จักรนี้มันทำลายกิเลส มันไม่ทำลายใครเลย มันทำลายกิเลสในหัวใจของเรา ถ้ากิเลสมันยิ่งโดนทำลายมากเท่าไหร่ เรายิ่งมีความสุขความสบายมากเท่านั้น

ความผูกพันเป็นเรื่องหนึ่ง ผูกพันนี้เป็นเรื่องของโลกมันต้องมีเป็นธรรมดาใช่ไหม ดอกบัวเวลามันจะเกิดขึ้นมามันต้องมีเมล็ดพันธุ์ของมัน มันต้องมีน้ำของมัน มันต้องมีโคลนของมัน มันถึงเจริญงอกงามขึ้นมาได้

เรามีสายบุญสายกรรมต่อกันมา ในเมื่อเรามีสายบุญสายกรรม เรามีเมล็ดพันธุ์ที่เกี่ยวเนื่องกันมา เราถึงเกิดมามีสายบุญสายกรรมกันอยู่นี่ไง สายบุญสายกรรมนะ เวลาเกิดมาเห็นไหม ลูกเต้าทุกคนก็รักทั้งนั้นนะ ถ้าลูกเต้าเราเลี้ยงเขามาดี ลูกเต้าประสบความสำเร็จ พ่อแม่ก็มีความชื่นใจมากเพราะเหตุใด เพราะว่าลูกเต้าเราประสบความสำเร็จไง

แล้วความสำเร็จในหัวใจของเราล่ะ ถ้าเราประสบความสำเร็จ เราทำสมาธิของเราได้ เราเห็นใจของเรามีความสงบขึ้นมาเราจะชื่นใจมาก เราชื่นใจจากภายนอก ภายนอกชื่นใจเพราะว่าลูกหลานของเราประสบความสำเร็จเห็นไหม

แต่ถ้าหัวใจเราประสบความสำเร็จล่ะ หัวใจเรามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา ถ้าหัวใจมันมีจุดยืนขึ้นมาเห็นไหม เพราะหัวใจมีจุดยืนขึ้นมา เวลาเราเสียสละมา เราทิ้งบ้านทิ้งเรือนมานะ เราเดินทางไกลกันมา เรามาแสวงบุญ เรามาทำบุญของเรา

บุญ! บุญกุศลเราเสียสละทานขึ้นมามันก็เป็นอามิส มันเป็นบุญกุศลของเรา ทีนี้เราต้องการเห็นไหม ทำบุญร้อยหนพันหนก็ไม่เท่ากับถือศีลสงบหนหนึ่ง ศีลสงบคือความสะอาดบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนก็ไม่เท่ากับจิตใจเราสงบหนหนึ่ง จิตใจสงบร้อยหนพันหนก็ไม่เท่ากับเกิดโลกุตรธรรมขึ้นมาหนหนึ่งเห็นไหม ปัญญาเกิดโลกุตรธรรมขึ้นมา

แต่เวลาปัญญามันเกิด ปัญญานี้มันใช้เรานะ ปัญญาเวลาเกิดขึ้นมา โครงการนั้นก็ดี โครงการนี้ก็ดีนะ มันลากเราไปนะ ปัญญาของโลกมันลากเราไปเห็นไหม เลือดซิบๆเลย แต่ถ้าเป็นปัญญาของธรรมนะ มันวาง..มันวาง..มันวางเห็นไหม มันเป็นปัญญาคนละปัญญา

ปัญญานั้นมันเป็นปัญญาขึ้นมาเพราะเหตุใดล่ะ มันเป็นปัญญาเพราะเราทำความสงบของใจขึ้นมาได้ไง ที่เรามาวัดมาวากันอยู่นี่ไง เรามาวัดมาวาเรามาทำความสงบของใจไง ให้ใจมันสงบมาก่อน ถ้าใจไม่สงบนะมันจะเข้าข้างตัวเอง มันคิดถูกหมด กิเลสคิดถูกหมดเลย เวลาธรรมมันคิดผิดหมดเลย

เวลาจิตใจเราหยาบนะ เวลากิเลสมันคิดไง อย่างนั้นก็ดี อย่างนี้ก็ดี กิเลสมันคิดดีไปหมดเลย แต่เวลาธรรมมันคิดเห็นไหม ดูสิเวลาเขาเสียสละกัน เขาไปวัดไปวากัน เขาบอกว่า “พวกนี้พวกเวลาว่างมากเกินไป พวกนี้ไม่รู้จักทำมาหากิน”

คนทำมาหากินเป็นคนดีใช่ไหม? คนทำหน้าที่การงานทางโลกเป็นคนดีใช่ไหม? นั้นมันเป็นสมบัติของโลก! มันหาอยู่เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง สมบัติมหาศาลเอามากองไว้เต็มบ้านเลย มันก็นอนทุกข์อยู่บนกองสมบัตินั่นนะ

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราอยู่ในป่าในเขา อยู่โคนต้นไม้ทำไมมีความสุขล่ะ ความสุขมันมาจากไหน..ความสุขมันมาจากหัวใจไง ถ้าหัวใจมันรู้จักมันอิ่มเต็มของมัน มันพอของมันเห็นไหม

เราบอกทำหน้าที่การงานเป็นคนดี ใช่! เป็นคนดี แต่ดีแบบฆราวาสธรรม ดีแบบโลกๆ ไง ดีแบบที่เราปรารถนากัน ไว้ให้โลกเป็นคนดี สังคมเป็นคนดี เราก็ปรารถนาเป็นคนดีใช่ไหม คนดีมันก็ตายเปล่าไง ตายเพราะความดีมันก็ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันตายในวัฏฏะ เป็นผลของวัฏฏะนะ

การเกิดการตายนี่เป็นผลของวัฏกะ ความดีเป็นช่องทางที่ทำให้เราก้าวเดินไป แต่ความดีอย่างนี้มันยังมีอยู่ใช่ไหม เวลาเรามาวัดมาวากันคนก็บอกว่า “พวกนี้มีเวลาว่างเกินไป ไม่รู้จักทำมาหากิน มันมาอยู่วัดอยู่วา ขี้เกียจ ไม่ทำมาหากิน ไม่สู้โลก” ..คนสู้โลกเลือดซิบๆ

แต่เวลาคนมาปฏิบัติธรรมเห็นไหม เพราะมันมาปฏิบัติธรรม เรามาควบคุมใจของเรา ถ้ามันควบคุมใจไม่ได้มันตกนรกทั้งเป็นนะ มันตกนรกทั้งเป็น! ใครภาวนาจะรู้จักว่าการตกนรกทั้งเป็น เป็นอย่างไร

เวลานั่งลงไปแล้วควบคุมใจตัวเองไม่ได้นะ “คนโน้นก็มีความสุข คนโน้นก็มีความสบาย ดูโลกเขามีแต่ความเจริญรุ่งเรือง เราเป็นคนทุกข์คนยาก เราอยู่กับโคนต้นไม้ เราอยู่กับลิ้น กับเล็น กับไร มันกัด มันตอม” อู๋ย มันทุกข์ไปหมดเลย

ไอ้นั่นก็บอก “โอ๋ย ไปอยู่วัดมันสบาย”

ถ้าสร้างให้สบายมันก็สบาย ถ้าเขามีเลศนัยของเขา แต่เราต้องมีความสะอาดบริสุทธิ์ เพราะเราถือ ศีล สมาธิ ปัญญาใช่ไหม ศีลของเราต้องสะอาดบริสุทธิ์ ถ้าศีลของเราไม่สะอาดบริสุทธิ์สมาธิมันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ศีลของเราไม่สะอาดบริสุทธิ์เราก็เข้าข้างตัวเองใช่ไหม สมาธิก็สมาธิหลอกๆ ปัญญาก็ปัญญาหลอกๆ สร้างขึ้นมา โอ้โฮ ว่าง..มีความสุข มีความสงบ แต่หัวใจมันว้าเหว่ หัวใจมีความทุกข์นะ

แต่ถ้าหัวใจมันสงบนะ ใครจะติฉินนินทาอย่างไรมันก็เรื่องของเขา เพราะจิตใจของคนมันหยาบมันก็เห็นได้สภาพแค่นั้น จิตใจของคนละเอียดขึ้นมามันจะเกิดความละเอียดลึกซึ้งขึ้นมา ลึกซึ้งๆ ที่ไหนล่ะ ลึกซึ้งคืออากาศที่จับต้องไม่ได้ใช่ไหม..มันจับต้องได้เพราะมันมีสติ ถ้ามีสติเห็นไหม ความคิดที่มันจะโลดแล่นขนาดไหน ความคิดที่มันจะโถมใส่เราขนาดไหน ถ้ามีสติยับยั้งไว้มันยับยั้งได้หมดนะ มันมีสติจับต้องได้ มันไม่มีอะไรว่างเปล่าที่จะจับต้องไม่ได้

แล้วก็พูดกันว่า “มันว่างๆ ว่าง ๆ”

...มึงก็ว่าง..กูก็ว่าง.. ว่างลงนรก

แต่ถ้ามันยังมีสติอยู่นั้น ว่างเป็นอย่างไร..ว่างก็มีสติปัญญา ว่างก็ควบคุมตัวเองได้ ว่างก็มีความรู้ผิดรู้ถูกใช่ไหม

ถ้าว่างๆ แล้วไม่รู้ผิดรู้ถูกเลยมันว่างทำไม ว่างอะไรผิดอะไรถูกก็ไม่รู้ แล้วก็ว่าง ว่างไปทำไม แต่ถ้าว่างรู้ถูกหรือผิดล่ะ

เห็นไหม สัมมาสมาธิ มิจฉาสมาธิ ความว่างที่ผิดก็มี! ความว่างที่ถูกก็มี! ความว่างที่ผิดมันหมักหมมเห็นไหม มนต์ดำ มันมีความว่าง ว่างไปอย่างไร นี่ไงเพราะมันขาดศีลไง เพราะมันขาดศีลมันถึงมุสา มันถึงโกหกมดเท็จ มันถึงมีเล่ห์กลในหัวใจ แต่ถ้ามันมีศีลขึ้นมา มันจะมีเล่ห์กลในหัวใจได้ไหม

ถ้าเล่ห์กลในหัวใจ..เอ็งโกหกตัวเอง เอ็งโกหกแล้วนะๆ ถ้าเอ็งโกหกแล้วเอ็งจะทำอะไร เอ็งจะไปดีหรือไปชั่ว

เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามันมีศีลขึ้นมา หนึ่งไม่โกหกตนเอง ตัวเองรู้หมดนะ ทำดีทำชั่วนี่รู้ ความลับไม่มีในโลก ผู้กระทำรู้ก่อน จิตมันคิดมันรู้ก่อน แต่! แต่มันเข้าข้างตัวเอง มันหลอกตัวเอง นั่นคืออะไร..คือกิเลส กิเลสคืออวิชชา มันไม่รู้จักตัวมันเอง แต่ถ้าเป็นวิชชาล่ะ วิชชาจรณสัมปันโนเห็นไหม ความเป็นวิชาธรรมมันจะแยกแยะของมันนะ

ถูก..ผิด ถูกจริงหรือ ว่างจริงหรือ มีสติจริงหรือ ถ้ามีสติจริงทำไมควบคุมใจเราเองไม่ได้ ถ้ามันควบคุมใจมันได้นะ ควบคุมได้ที่ไหน ควบคุมได้ก็คือกิริยาในหัวใจไง มันเป็นกิริยาภายนอก เวลาออกมาเห็นไหม ธรรมออกมาอย่างกับไฟป่าเลย

ไฟป่ามันจะเผากิเลส! มันจะเผาทิฐิมานะของคน ทิฐิมานะที่ในหัวใจของคนที่ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครรู้ แต่เรารู้ เพราะเรารู้เห็นไหม ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา ถ้ามันจะเอาว่าง ว่าง ถ้าสติมันว่างนะมันมีกำลังของมัน จิตมีกำลังของมันมันจะสดชื่นของมัน จิตมีกำลังออกมาทำอะไรก็ได้ เรามีเงินทองขนาดไหนเราจะซื้อกิจการสิ่งใดก็ได้ ถ้าเรามีเงิน เราได้เงินมาด้วยความถูกต้องเราจะซื้ออะไรก็ได้ ถ้าจิตมันเป็นสมาธิขึ้นมา มันมีกำลังของมันมันทำอะไรก็ได้

ไอ้นี่ว่างๆ ว่างๆ แล้วทำอะไรไม่ได้เลย “ว่างๆ ว่างๆ” ว่างๆ น่ะหมาขี้เรื้อน มันคันมันนะ แต่ถ้ามันเป็นสัมมาสมาธิมันต้องทำได้สิ แล้วบอกว่า “ว่างๆ ว่างๆ”

ชาวพุทธมันจะไม่เป็นชาวพุทธแล้วล่ะ ชาวพุทธมันจะเร่ร่อน เพราะชาวพุทธ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามันมีสมาธิ มันมีปัญญาขึ้นมา เราจะต้องมีสติสิ เราต้องไม่เป็นเหยื่อสิ นี่เราเป็นเหยื่อกันไปหมดเลย ใครพูดอะไรก็เชื่อ ใครพูดอะไรก็เชื่อ เขาพูดอะไรมาเห็นไหม โลกธรรม ๘ สรรเสริญ นินทา ถ้ามันพูดมันต้องมีตรงข้ามสิ ทำไมเราไม่คิดโต้แย้งบ้างล่ะ เราคิดสิ พอคิดขึ้นมาแล้วก็คิดไม่ได้นะเดี๋ยวมันจะเป็นบาป

“มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้เราจะไม่ยอมนิพพาน”

พอพระพุทธเจ้าวางรากฐานจนมั่นคงขึ้นมานะ “มารเอย บัดนี้! ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ของเราเข้มแข็ง สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้” ..ลัทธิต่างๆ เขาเข้ามาจาบจ้วงศาสนา เราแก้ไขได้ เราโต้แย้งได้

โต้แย้งก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะเป็นบาปๆ..เดี๋ยวจะเป็นบาป..

..ด้วยเหตุด้วยผลอะไรจะเป็นบาป ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ของศาสนา อะไรมันจะเป็นบาป มันมีแต่ความเจริญงอกงามทั้งนั้นนะ ถ้าเราไม่โต้ไม่แย้ง เราไม่คิดตรงข้ามเลย นั่นแหละบาป เพราะอะไร เพราะเขาเกี่ยวจมูกไปไง จมูกขาดหมด

ถ้าเราโต้แย้งเห็นไหม กาลามสูตรจะไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์ตัวเองพูด ไม่ให้เชื่อแม้แต่ว่ามันอนุมานแล้วมันจะเข้ากันได้ อนุมานเข้ากันได้มันก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา เราต้องพิสูจน์ของเรา ถ้าเราพิสูจน์ขึ้นมา พระพุทธเจ้าให้เชื่อนะ สันทิฏฐิโก ให้เชื่อประสบการณ์ของตัว

แล้วนี่ประสบการณ์ของตัวนะ “ว่างๆ ว่างๆ”...ว่างๆ อะไรก็ไม่รู้

ถ้าจิตเป็นสมาธินะ เวลามันเป็นสมาธิขึ้นมามันมีกำลัง มันสดชื่นของมันนะ พอมันสดชื่นของมัน ถ้ามันเสื่อม เวลามันเหลวไหลไป เราก็รู้ว่ามันเสื่อม เวลามันขึ้นมา ถ้าศีลมันไม่สะอาดบริสุทธิ์ เวลาขึ้นมามันก็ไม่เต็มร้อย มันขาดตกบกพร่อง

ถ้าขาดตกบกพร่องมันต้องกลับมาทบทวนแล้ว ทบทวนว่าวันนี้เราทำอะไรบ้าง วันนี้เราทำสิ่งใดผิดพลาดบ้าง แล้วในหัวใจมันมีมโนกรรม อกุศลที่มันคิดผิดคิดพลาด ความคิดอย่างนี้ทำไมไม่แก้ไข ความคิดอย่างนี้ทำไมไม่ปล่อยวางไว้ก่อน ความคิดอย่างนี้ต้องพิสูจน์ก่อนใช่ไหม ความคิดอย่างนี้ให้จิตมันสงบขึ้นมาก่อนใช่ไหม พอจิตมันสงบเข้ามาแล้ว ค่อยเอามาตรวจสอบกันว่าความคิดอย่างนี้ถูกหรือผิดใช่ไหม

มโนกรรมมันเป็นจริตนิสัย มันเป็นสิ่งที่ฝังรากมาจากจิต แล้วถ้าฝังรากมาจากจิตมันก็เป็นกรรมของแต่ละบุคคลนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องของสังคมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องของกรรม เรื่องของจริตนิสัย มันมีของมันอยู่แล้วใช่ไหม พอโดนกระแสสังคมมันปลิวไปเลย มันปลิวไปเลย เพราะมันไม่มีสติปัญญาของมัน ถ้ามีสติปัญญามันจะยับยั้งของมัน เราพิสูจน์ได้

“มารเอย เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเราเข้มแข็ง”

นี่เข้มแข็งไหม ถ้าเข้มแข็งขึ้นไปมันโต้แย้งได้ มันโต้แย้งเพื่อความสะอาดบริสุทธิ์นะ เราโต้แย้งขึ้นมา เราทดสอบของเรา เราจะไม่โต้แย้งด้วยวาจาก็ได้ เราโต้แย้งในจิตใจของเราก็ได้ แต่นี่โต้แย้งเพื่ออะไร เพื่อโต้แย้งว่าเราไม่มีกรรมร่วมไปกับเขา เราจะไม่เป็นเหยื่อไปกับเขา เห็นไหม ถ้าจิตใจมันเข้มแข็งขึ้นมาอย่างนี้

เรามาวัดมาวาปฏิบัติกันก็เพื่อสิ่งนี้นะ เวลาทำบุญก็ส่วนบุญกุศล เวลาทำบุญกุศลเวลาสิ่งที่เป็นบุญกุศล บุญมันให้ผลใช่ไหม ลูกหลานก็คิดถึง ญาติพี่น้องก็คิดถึง ใครๆ ก็มีแต่ความคิดถึง เขาก็มาเยี่ยม เขามาวันสงกรานต์ โอ้โฮ ร่มเย็นเป็นสุขมากเลย เวลาเขาจะกลับหงอยหมดเลย เพราะจิตใจมันไม่เข้มแข็งใช่ไหม ถ้าจิตใจเราเข้มแข็งเราต้องสร้างสติของเรา สร้างสมาธิของเรา สร้างปัญญาของเรา สิ่งนี้มันเป็นความจริง

ชีวิตนี้ทุกคนเขาก็จะต้องขับเคลื่อนของเขาไป จิตของคนเกิดมาแล้วก็ต้องตาย คำว่าตายของเขา ชีวิตชาติหนึ่งของเขาเขาจะประสบความสำเร็จของเขาอย่างไร เขาทำผลประโยชน์ของเขาเพื่อจิตใจของเขา เราก็เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นปู่ เป็นย่า เป็นตา เป็นยาย เราก็คอยสั่งสอนคอยบอกเขา เพราะว่าอะไร เพราะเราผิดพลาดสิ่งนี้มาก่อน

เด็กๆ มันจะเบื่อคำนี้มากนะ “เราอาบน้ำร้อนมาก่อน” เด็กมันจะเบื่อมาก แต่ความจริงมันเป็นอย่างนี้จริงๆ เราเป็นปู่ เป็นย่า เป็นตา เป็นยาย เราอาบน้ำร้อนมาก่อน เรามีประสบการณ์มาก่อน เราผ่านชีวิตอย่างนี้มาก่อน บอกมันมันก็ไม่เชื่อหรอก นี่มันโดยวัย ถ้าโดยวัยเราก็ดูแลของเรา

ฉะนั้นถ้าเขามาเยี่ยมมาดูแล เราก็มีความชื่นใจของเรา เขาจะกลับของเขาไป เขากลับไปทำงานเราก็พอใจของเรา ชีวิตของเราเราก็ต้องดูแลชีวิตของเราเพื่อประโยชน์กับเรา ถ้าเราฝึกของเรา จิตใจของเรามันก็เข้มแข็งขึ้นมา

ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ชีวิตนี้มีการสิ้นไปโดยที่สุด ฉะนั้นเราจะมีอะไรติดไม้ติดมือเราไปเพื่อประโยชน์กับเรา นี่ธรรมะเตือนนะ! เตือนชีวิตเรา ถ้าทุกคนมีสติ แล้วมีสมาธิคิดถึงชีวิตเรา แล้วมันจะไม่เห็นสิ่งอื่นจะมีประโยชน์กับชีวิตเรา แต่นี่เห็นสิ่งอื่นว่ามีประโยชน์กว่า มองข้ามชีวิตของเรา มองข้ามความรู้สึกของเรา มองข้ามจิตของเรา มองข้ามคุณสมบัติที่มันจะถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ เอวัง